แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ การศึกษาปฏิบัติ แสดงบทความทั้งหมด
แสดงบทความที่มีป้ายกำกับ การศึกษาปฏิบัติ แสดงบทความทั้งหมด

การศึกษาแบบพุทธให้อะไร? กับเรา

            

            ในฐานะที่เป็นพุทธศาสนิกชน และจบการศึกษาเป็นพุทธศาสตรบัณฑิต จากมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย  ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยของคณะสงฆ์ไทย ที่จัดการศึกษาพระพุทธศาสนาบูรณาการกับศาสตร์สมัยใหม่ พัฒนาจิตใจและสังคม   คงจะปฏิเสธไม่ได้ว่าไม่รู้เรื่องธรรมะ หรือหลักคำสอนในพระพุทธศาสนา  ก่อนจะเข้ามาสู่ร่มกาสาวพัสตร์แห่งพระพุทธศาสนา ก็คงเหมือนคนไทยอีกหลายๆ คน ที่เป็นชาวพุทธที่กำหนดโดยบัตรประจำตัวประชาชน คือไม่เคยสัมผัสและเรียนรู้ปฏิบัติในพระพุทธศาสนา  และสิ่งที่เราทำทุกวันที่เกี่ยวข้องศาสนามีนัยหรือมีความหมายอะไรบ้าง  หรือหากมีโอกาสศึกษาหลักธรรมก็เพียงแค่การบอกต่อจากผู้มีประสบการณ์ เช่นพ่อ แม่ ครูบาอาจารย์ ซึ่งแน่นอนความรู้เหล่านี้มักจะหายไปเมื่อกาลเวลาล่วงเลยไปนาน   แต่ด้วยความยากจนและด้อยโอกาสทางการศึกษา  จึงมองว่าพระพุทธศาสนาจะเป็นทางเลือกหนึ่งในการเปิดโลกทัศน์แห่งการศึกษาของตนเอง เลยเข้ามาบวชในพระพุทธศาสนา   ทำให้มีโอกาสศึกษาหลักธรรมในทางพระพุทธศาสนา ทั้งปริยัติ  ปฏิบัติ และปฏิเวธ กล่าวคือ


              ๑. การศึกษาแบบปริยัติ  มีโอกาสศึกษาหลักสูตรของคณะสงฆ์ไทยตั้งแต่นักธรรมชั้นตรี โท และเอก  และเปรียญธรรม ๑ – ๒   มีโอกาสค้นคว้าพระไตรปิฎก  ซึ่งเป็นคัมภีร์ต้นในทางพระพุทธศาสนา (Primary source) ทั้ง ๓ ฉบับ คือ พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก  และพระอภิธรรมปิฎก  รวมถึงคัมภีร์ต่างๆ ที่แต่งเป็นอรรถกถาอธิบายเนื้อความในพระไตรปิฎก หรือคัมภีร์ฎีกาที่อธิบายขยายความในอรรถกถาอีกครั้งหนึ่ง  และคัมภีร์ปกรณ์วิเสส ที่แต่งขึ้นจากพระเถระที่แตกฉานในพระไตรปิฎก ทั้งนี้เพื่อให้งานที่ได้รับมอบหมายจากอาจารย์มีความสมบูรณ์และถูกต้อง


              ๒. การศึกษาแบบปฏิบัติ  มีโอกาสเข้าร่วมงานปฏิบัติธรรมทั้งในส่วนของงานที่จัดขึ้นของคณะสงฆ์ หรือของวัด   และโครงการที่จัดขึ้นเป็นหลักสูตรภาคบังคับของมหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ที่กำหนดให้นักศึกษาต้องฝึกภาคปฏิบัติวิปัสสนากัมมัฏฐานอย่างน้อย ๑๐ วันต่อ ๑ ปีการศึกษา  ทำให้รู้สึกว่าความรู้ที่เราได้จากภาคทฤษฎีคือการเรียนรู้จากตำรับตำรา หรือจากคณาจารย์ ถูกเติมเต็มหรือถูกรับรองด้วยการลงสู่ภาคปฏิบัติจริง หาคำตอบที่เราเคยเรียนรู้ในภาคทฤษฎีแล้ว  ยิ่งทำให้เราเข้าใจหลักธรรม (ธรรมชาติ) เพิ่มมากขึ้น  ยิ่งมีโอกาสได้สนทนาธรรมกับผู้รู้ทั้งหลาย (การสอบอารมณ์กัมมัฏฐาน) ทำให้เรารู้หลักวิธีในการแก้อารมณ์ของตัวเราเอง ว่าเข้ากับจริตอะไร  เพื่อให้การปฏิบัติง่ายและส่งผลเร็วขึ้น

          ๓. การศึกษาแบบปฏิเวธ  ก็คือผลที่เกิดจากการปฏิบัติ แม้จะไม่ใช่ผลที่เป็นเป้าหมายในทางพระพุทธศาสนา คือ นิพพาน ก็ตาม  แต่ยังผลให้รู้จักปรับอารมณ์ความรู้สึกนึกคิด  จากคนที่ไม่เคยชอบคิดอะไรกว้างๆ ก็กลับกลายเป็นคนที่คิดรอบด้าน รู้จักระงับอารมณ์ความรู้สึกโลภ โกรธ หรือหลง  เข้าใจอารมณ์ความรู้สึกของบุคคลรอบข้าง มีเมตตา สงสารต่อสรรพสัตว์ทั้งหลาย และที่สำคัญเลยคือ เข้าใจชีวิตว่าทุกชีวิตบนโลกใบนี้สั้นจริงๆ ระลึกเสมอว่าเรายังทำความดีไม่พอ  เรายังดูแลพ่อแม่ไม่พอ  เรายังตอบแทนบุญคุณครูอาจารย์ไม่พอ   เรายังสร้างโอกาสแห่งความดีแก่โลกใบนี้ไม่พอ  คือมองว่าทุกสิ่งทุกอย่างมันมีขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปเร็วมากๆ สุดท้ายก็คือทำให้เรารู้สึกปลงได้  และเชื่อในกฎแห่งการกระทำ (ทำดีย่อมได้ดี)  โดยละทิ้งความเชื่อที่ถ่ายทอดแบบพรหมลิขิต (ผลที่เกิดจากพระเจ้าเป็นผู้ประทานให้)  สิ่งเหล่านี้แหละจะทำให้เราตัวเอง  สังคม และประเทศชาติอยู่กันอย่างร่มเย็นเป็นสุข ไม่มีความแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น  เห็นอกเห็นใจคนอื่น  ไม่ผิดศีลธรรม  ไม่มีการคอรัปชั่น ฯลฯ


              เชื่อว่าความรู้ที่ได้มาจากการศึกษา ค้นคว้า และการลงสู่ภาคปฏิบัติจริงจะเป็นความรู้ที่จะติดตัวไปตราบเท่าวาระสุดท้าย  และเชื่อว่าความรู้เหล่านี้จะยังประโยชน์มหาศาลต่อบุคคลอื่นที่ไม่เคยสัมผัสรสแห่งพระธรรม  จึงขอยกพุทธสุภาษิต ว่า สพฺพรสํ  ธมฺมรโส ชินาติ  แปลว่า รสแห่งพระธรรมย่อมชนะรสทั้งปวง  เราคงเคยรับประทานอาหารมาหลากหลายรสก็เพื่ออิ่มทางร่างกายเท่านั้น แต่รสแห่งพระธรรมมีรสเดียวเป็นรสแห่งการดับทุกข์ คือ นิพพาน

สติมา นารีนุช
นักวิชาการศึกษา